Uncategorized

โควิดคืออะไร

โควิดคืออะไร

ในช่วงที่ผ่านมาก่อนปี 2019 สถานการณ์ของโรคระบาดในประเทศไทยยังไม่มีความรุนแรงมากนัก ก่อนหน้านี้โรคที่น่ากลัวที่สุดคงจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ ที่คนมักจะให้ความสำคัญมาก ทั้งการดูแลตัวเอง ดูแลสุขลักษณะ จนไปถึงการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่นั้นอยู่กับคนทั่วโลกมากอย่างยาวนาน และสามารถที่จะแพร่กระจายได้เร็วในอากาศหรือสัมผัสกับผู้ป่วย แต่ต่อมาในช่วงต้นปี 2020 ก็มีโรคไข้หวัดชนิดใหม่ที่เพิ่มความรุนแรงของอาการมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการแพร่กระจายเชื้อที่รวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้มีผู้คนติดเชื้อจำนวนมากแพร่กระจายติดต่อกันจนเป็นวงกว้าง ขยายการแพร่ระบาดเร็วมากจนเข้าขั้นวิกฤตของการแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดเลยก็ว่าได้

จากที่กล่าวข้างตนก็คงจะพอนึกได้แล้วว่า โรคที่แพร่ระบาดรวดเร็วและมีผลของอาการที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็คงจะหนีไม่พ้น “ไวรัสโคโรนา” หรือโควิด-19 นั่นเอง เป็นโรคที่ตอนนี้ทั่วทั้งโลกจับตามองถึงความรุนแรงของอาการและการแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว จนน่าตกใจส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และเศรษฐกิจโดยรวมเป็นอย่างมาก

มาทำความเข้าใจก่อนว่าไวรัสโคโรน่าหรือโควิด19 คืออะไร  ?

ไวรัสโคโรนา (Coronavirus) เป็นเชื้อไวรัสประเภทหนึ่งที่แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ เป็นเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงมากและหากผู้ป่วยติดเชื้อก็จะมีอาการที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ยากต่อการวินิจฉัยโรคของแพทย์ เพราะว่าโรคโควิดจะมีอาการใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดใหญ่มาก อาการที่แสดงออกมามีความคล้ายกันแทบจะแยกไม่ออกเลยก็ว่าได้

ปัจจุบันไวรัสโคโรนามีหลากหลายสายพันธุ์อย่างน้อย 6-7 สายพันธุ์เลยก็เป็นได้ แต่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักทั่วโลกในปัจจุบันจะเป็นสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า “โควิด19” เป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่ค้นพบ และมีการแพร่ระบาดทั้งในคนสัตว์อย่างรวดเร็วอีกด้วย หากติดเชื้อโควิด 19 อาการที่แสดงออกมาของแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกัน วันนี้เลยขอมาเช็คอาการของการติดเชื้อไวรัสโควิดที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เพื่อประเมินความเสี่ยงของการติดเชื้อก่อนเข้าพบแพทย์
                  

อาการเริ่มต้นมีไข้

อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาส่วนใหญ่จะเริ่มจากการมีไข้สูงเกิน 37.5 ขึ้นไป โดยผู้ป่วยบางรายไข้สูงมากและอาจมีผลข้างเคียงอย่างภาวะช็อค โดยร่างกายมีไข้สูงผิดปกติ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อเข้าสู่วันที่ 3-4 หลังได้รับเชื้อโควิด

ไอแห้ง ไม่มีเสมหะ

ผู้ป่วยโควิด19 จะมีอาการไอแห้ง ลักษณะการไอที่ไม่มีน้ำลาย ไม่มีเสมหะ หรือความรู้สึกคันในลำคอ ระคายคอ จนทำให้มีอาการเสียงแหบร่วมด้วยได้ในบางครั้ง เป็นอีกอาการที่พบมากในกลุ่มผู้ป่วย

คัดจมูก น้ำมูกไหล

อาการของผู้ป่วยโควิดนั้น อาจจะมีการคัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาบ้าง ไม่ถึงกับน้ำมูกเขียวติดเชื้ออย่างหนัก แต่จะเกิดกับผู้ป่วยบางรายเท่านั้น โดยส่วนใหญ่อาการอื่นๆ จะแสดงออกมาให้เห็นมากกว่า

ขาดการรับรส กลิ่น

เมื่อติดเชื้อโควิด19 ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคคือ จมูกจะไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ผู้ป่วยโควิดจะสูญเสียความสามารถในการดมกลิ่นไป 68% ความสามารถในการรับรสลดลง 71% ซึ่งจะมีความแตกต่างกับโรคไข้หวัดชนิดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

เวลาหายใจเหนื่อยหอบ

ไวรัสโคโรนาจะทำให้ร่างกาย หายใจลำบาก อ่อนเพลีย เป็นอีกหนึ่งอาการที่มีคล้ายไข้หวัดทั่วไปมากๆ แต่ในโรคโควิดนั้นจังหวะการหายใจจะเร็วขึ้นอย่างชัดเจน ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อจะเริ่มมีอาการได้ทันที

จากอาการของโรคโควิดที่กล่าวมานั้น ก็สามารถช่วยในการเช็คร่างกายเมื่อมีอาการแปลกเกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ และสามารถทำได้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงตรวจเช็คคนในครอบครัวได้อีกด้วย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม แพร่กระจายวงกว้างอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้อาการของโรคนี้แล้วก็จะสามารถประเมินได้ข้างต้นว่าตัวเองและคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดหรือไม่

กลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19

ผู้สูงอายุ

เป็นกลุ่มคนที่ติดเชื้อจำนวนมากที่สุดเลยก็ว่าได้ อาจเนื่องมาจากการแพร่ระบาดจากคนใกล้ชิดที่รับเชื้อมาแล้วแพร่ต่อให้กับผู้สูงอายุได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งภูมิต้านทานของผู้สูงอายุมีไม่มากเท่ากลุ่มวัยกลางคนจึงทำให้รับเชื้อได้ง่าย และกลุ่มผู้สูงอายุยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงเช่นกัน ในกลุ่มผู้ป่วยโควิดทั้งหมด

คนที่มีโรคประจำตัว

กลุ่มที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ นั้นเป็นเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายมาก และยังมีอาการที่รุนแรงมากกว่าคนปกติอีกด้วย ในกลุ่มโรคที่เมื่อติดเชื้อโควิดแล้วมีผลต่อ ภาวะแทรกซ้อนทันทีเลยคือ โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง ซึ่งทำให้เชื้อลงปอดได้ง่ายและอันตรายมากจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

คนที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ

ร่างกายของคนเรามีภูมิต้านทานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่ละคนมีภูมิต้านทานที่ไม่เท่ากัน บางคนมากบางคนน้อย จึงทำให้ไม่สามารถสู้กับเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสได้เอง ติดเชื้อได้ง่ายและแพร่กระจายทั่วร่างกายได้รวดเร็วกว่าคนปกติ