Uncategorized

โรค ไข้หวัด สามารถแพร่กระจายเชื้อจากสัตว์ได้ไหม

ไข้หวัด” สามารถแพร่กระจายเชื้อจากสัตว์ได้ไหม ?

ถ้าพูดถึงโรค “ไข้หวัด” หลายคนต้องเคยป่วยเป็นหวัดและรู้ว่าอาการเบื้องต้นของโรคนี้เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรงมากนักใน “ไข้หวัด” ธรรมดาทั่วไป ทุกคนสามารถป่วยได้ตลอดทั้งปี โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กทารกและเด็กที่มีอายุมากกว่า 3 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่พบว่าป่วยเป็น “ไข้หวัด” บ่อยที่สุดและกลุ่มผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุจะมีโอกาสเป็น “ไข้หวัด” ไล่เรียงตามลำดับ

เมื่อป่วยเป็น “ไข้หวัด” ต้องรีบทำการรักษาเบื้องต้นให้อาการไม่รุนแรงจนเกิดเป็นโรคเรื้อรังตามมาภายหลัง จากการสังเกตอาการผู้ป่วยโรค “ไข้หวัด” จะรักษาหายได้เองตามธรรมดาในเวลา 3 วัน หรือถ้าหากเกินกว่านี้หรือนานถึงขั้น 7 วัน ก็จะควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา

การติดเชื้อโรค “ไข้หวัด” นั้นสามารถติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจส่วนบนคือ จมูก โพรงจมูก นั่นเอง โดยการนำเอาเชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรียที่สูดดมเข้าไปทางจมูก เข้าไปสะสมภายในโพรงจมูกจนเกิดการอักเสบ เยื่อบุโพรงจมูกเกิดการสะสมของเชื้อไวรัส ทำให้มีผลแสดงอาการออกมาอย่าง คัดจมูก จาม หายใจไม่สะดวก อาการจำพวกเป็นเป็นอาการเริ่มต้นของผู้ที่จะเข้าข่ายป่วยเป็นโรค “ไข้หวัด”

ความแตกต่างของการติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” นั้นก็คือ ผู้ป่วยจะติดเชื้อไวรัสประเภทเชื้อไวรัสไรโนไวรัส (Rhinovirus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดธรรมดา ที่ไม่อันตรายมากนัก หายได้เองโดยไม่ต้องไปพบแพทย์ แต่ที่ต้องระมัดระวังให้มากก็คือเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ ที่มีการระบาดในวงกว้างเป็นประจำในช่วงฤดูฝน เป็นการติดเชื้อไวรัส (Influenza virus) ที่ทำให้มีอาการรุนแรงและไข้สูงอย่างเฉียบพลัน

โดยเชื้อไวรัส “ไข้หวัด”ใหญ่จะแยกออกเป็นสายพันธุ์ได้อีก 3 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์เอ สายพันธุ์บี สายพันธุ์ซี ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงต่างกัน ในส่วนของสายพันธุ์บีและสายพันธุ์ซี อาการจะไม่รุนแรงมากนัก แพร่ระบาดจากคนสู่คน พบเชื้อไวรัสชนิดนี้ในกลุ่มคนเท่านั้น แต่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอนั้น พบได้ในคนและสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไก่ นก สุกร วัว สามารถก่อโรค“ไข้หวัด”  ที่แสดงอาการได้รุนแรงและแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วกระจายเป็นวงกว้างในหลายประเทศ จนถือเป็นวิกฤตระดับโลกเลยก็ว่าได้

ซึ่งเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ชนิดสายพันธุ์เอนั้น มีการแบ่งชนิดย่อย โดยพิจารณาจากองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ดูจากไกลโคโปรตีนที่เปลือกหรือแคปซูลของไวรัส ในกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสสัตว์มี H 15 ชนิด และ N 9 ชนิด แต่ในกลุ่มคนมี H 3 ชนิดคือ H1, H2, H 3 และ N 2 ชนิด คือ N1 และ N2 แต่สายพันธุ์ H5 และ H7 มีความรุนแรงสูง โดยสามารถแพร่กระจายติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว และแพร่เชื้อไวรัสจากสัตว์สู่คนได้ อย่างช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian influenza: H5N1) ที่เป็นวิฤกติในหลายพื้นที่ของประเทศไทยช่วงก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก โดยเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ที่แพร่กระจายจากสัตว์สู่คนและคนสู่สัตว์ให้เห็นได้ชัดเจน และอาการที่แสดงออกรุนแรง ทำให้อันตรายต่อชีวิตได้

เชื้อไวรัส “ไข้หวัด” นกนั้นสามารถติดต่อจากสัตว์ปีกมาสู่คนได้ ไม่ว่าจะเป็น ไก่ นก เป็ด สัตว์มีปีกแทบทุกชนิดมีเชื้อไวรัสตัวนี้ฝังอยู่และแพร่กระจายในกลุ่มของสัตว์ปีได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้คนจะติดเชื้อไวรัสได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากสัตว์ปีกที่ป่วยโดยตรง อย่างเช่น อุจจาระ น้ำมูก น้ำลายของสัตว์ปีก หรือการสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากสัตว์ปีที่ป่วย  เชื้อไวรัสใน “ไข้หวัด” นกจะแพร่กระจายได้ จากการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับนกและสัตว์ปีกที่มีเชื้อไวรัสหรือป่วยอยู่ จะเป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือที่ตายแล้วก็ได้ เพราะเชื้อยังฝังอยู่ในร่างกาย รวมถึงการสัมผัสกับอุจจาระของสัตว์เหล่านี้โดยตรงก็จะติดเชื้อไวรัสได้ทันที อาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” จะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้สูง ไอ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ หรือในบางรายผู้ป่วยจะอาการแรกซ้อนอย่าง เชื้อไวรัสลงปอด สามารถก่อให้เกิดโรคที่ร้ายแรงตามมาและอาจทำให้ผู้ป่ยเสียชีวิตได้

มีการรายงานว่าเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” นก จะไม่สามารถติดต่อโดยตรงกับมนุษย์ ไม่เหมือนติดต่อจากสัตว์สู่สัตว์อีกตัวได้ทันทีเมื่อสัมผัส แต่ในมนุษย์จะเป็นการรับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายและกลายพันธุ์จากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ สายพันธุ์ H5N1 และ H9N2 และแพร่ระบาดจากคนสู่คนต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์แล้วนั้น จะมีอาการรุนแรงมากเพียงใด แต่ก็ยังเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกับ “ไข้หวัด” นกผสมอยู่ด้วย

หากป่วยเป็น “ไข้หวัด” นกจะต้องทำอย่างไร

เมื่อรู้ตัวว่าติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ทุกชนิดไม่ใช่เฉพาะไข้หวัดนก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ จะมีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วเช่น ไข้สูงไม่ลดลง หายใจไม่สะดวก หายใจไม่ออกติดขัด จนถึงขั้นอันตรายมากได้ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อ “ไข้หวัด” นกที่เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ H5N1 จะมีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดใหญ่ทั่วไปอย่างชัดเจน  ผู้ป่วยจะต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลและรับยาต้านไวรัส เพื่อป้องกันไม่ให้อาการทรุดตัวรุนแรง จนอันตรายถึงชีวิต