Uncategorized

หากเป็น ไข้หวัดใหญ่ รักษาเองได้หรือไม่

หากเป็น ”ไข้หวัดใหญ่” รักษาเองได้หรือไม่ ? 

             โรค “ไข้หวัด” นั้นเป็นโรคที่ทุกคนต้องเคยเป็นมาตั้งแต่วัยเด็ก บางคนเป็นบ่อยมาก เป็นๆ หายๆ ในระยะเวลาอันสั้น ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของร่างกายด้วย  แต่ในบางคนนานๆ จะเป็นสักครั้ง แต่มีอาการหนักมาก จนถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้ ซึ่งในแต่ละครั้งที่เรามีการติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ชนิดต่างๆ นั้น เราจะมีความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาอย่างแน่นอนแต่สิ่งที่จะส่งผลดีต่อร่างกายของเราเมื่อเราติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” แล้วนั่นคือ เมื่อเราป่วยเป็น “ไข้หวัด” แล้วหายจากโรคแล้ว ร่ายกายจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสประเภทนั้นๆ ด้วยตัวเอง เมื่อครั้งต่อไปมีการติดเชื้ออีก ร่างกายก็สามารถที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้เอง โดยที่อาจจะไม่แสดงอาการมากนัก ทำให้เมื่อป่วยเป็น “ไข้หวัด” ใหญ่ด้วยเชื้อไวรัสตัวเดิม ร่างกายของเราก็จะปรับตัวและต่อสู้ให้หายได้ตามธรรมชาติ

โดยปกติแล้วเมื่อเราติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” เชื้อไวรัสในหวัดธรรมดา ไข้หวัดทั่วไป (Common Cold) จะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณ ทางเดินหายใจส่วนบน เช่นจมูก คอ ไซนัส หรือลงไปที่ลำคอ กล่องเสียง โดยเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิด “ไข้หวัด” มีสายพันธุ์ย่อยแยกไปอีกมากกว่า 100 ชนิดเลยทีเดียวแล้วเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิด “ไข้หวัด” โดยทั่วไปได้มากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (Rhinovirus) โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ที่แตกออกไป ขึ้นอยู่กับว่าติดเชื้อสายพันธุ์ไหนและมีอาการที่แสดงออกแตกต่างกัน เชื้อไรโนไวรัสเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกับจมูกโดยตรง โพรงจมูก เยื้อบุจมูกอักเสบ เป็นเชื้อไวรัสที่พบมากที่สุดในมนุษย์ ทำให้เชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรค “ไข้หวัด” นั่นเอง

ถ้าหากเป็นผู้ป่วย “ไข้หวัด” ใหญ่ นั้น เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคจะเป็นเชื้อไวรัสประเภท อินฟลูเอนซา เป็นเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงกว่า แข็งแรง และปรับตัวได้ดีในทุกสถานที่ จึงทำให้เชื้อไวรัสประเภทนี้มีการแบ่งแยกตัวและขยายพันธุ์ออกไปอย่างแพร่หลายและรวดเร็ว

ทำให้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อ “ไข้หวัด” ใหญ่มีอาการที่รุนแรงและอาจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ในผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ ก็อาจจะต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้ ใกล้ชิดกับแพทย์ รับยาตามแพทย์สั่ง เพื่อสังเกตปฏิกิริยาและเฝ้าดูอาการไม่ให้มีความรุนแรงมากกว่าเดิม

อย่างที่กล่าวในข้างต้นผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่มีทั้งแบบอาการไม่รุนแรงและอาการที่รุนแรง แต่เมื่อมีการติดเชื้อแล้ว ร่างกายได้รับการรักษาเยี่ยวจนหายสนิทจาก“ไข้หวัด” ใหญ่แล้ว ผลดีที่ตามมาก็คือ ร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นๆ ขึ้นมาได้เองตามกระบวนการของร่างกาย เมื่อระยะเวลาผ่านไป เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัสเป็น “ไข้หวัด” ใหญ่อีกครั้ง ก็ทำให้มีอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานต่อไวรัสชนิดนี้แล้วแต่ในเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ ไม่ได้มีไวรัสเพียงแต่สายพันธุ์เดียว จึงทำให้การขยายพันธุ์ของเชื้อไวรัสแพร่กระจายออกไปได้หลากหลาย ส่งผลให้ในทุกการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัย สภาพอากาศก็จะมีผลให้เกิดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด”  ใหญ่ ชนิดใหม่เกิดขึ้นมากมาย สลับหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ จากการแปลงพันธุ์กรรมของเชื้อไวรัส

 

คนส่วนใหญ่จึงมีโอกาสติดเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ซ้ำๆ ได้ปีละหลายๆ ครั้งและไม่อาจหลีกเหลี่ยงได้ด้วย ซึ่งเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ก็จะทวีคูณความรุนแรงของอาการที่แสดงออกไปอีก เช่น ไข้สูงมากผิดปกติ ไอแก้ง ไอเสมหะติดเชื้อ มีอาการกำเริบของโรคประจำตัวไซนัส เชื้อไวรัสลงไปสู่ปอดทำให้เกิดอาการปอดติดเชื้อได้ง่าย และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคแทรกซ้อนทำให้มีผลเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ทันที

ทำให้ต้องระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้นเพราะเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ จะผสมอยู่ใน น้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย สามารถติดต่อทันทีเมื่อสัมผัส หรือพูดคุยกับผู้ที่ป่วยเป็น “ไข้หวัด” ใหญ่ และการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอ หรือจามรดกัน แนะนำให้เว้นระยะห่างมากกว่า 1 เมตรจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการสูดดมเชื้อไวรัสได้ดีที่สุด

อีกทั้งสิ่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ ก็ไม่ควรสัมผัสเช่นกัน เพราะผู้ป่วยที่ใช้สิ่งของเช่น เครื่องใช้ส่วนตัว ผ้าเช็ดหน้า จาม ชาม แก้วน้ำ โทรศัพท์มือถือ สิ่งของเหล่านี้ใช้ในการพูดคุย หรือรับประทานอาหาร มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะทิ้งเชื้อเอาไว้จุดใดจุดหนึ่งก็เป็นได้ จึงไม่ควรไปสัมผัสต่อหรือใช้ร่วมกันกับผู้ที่ป่วยเป็น “ไข้หวัด” ใหญ่

และสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยอีกสิ่งคือ สิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่ เช่น ห้องที่ผู้ป่วยพักอาศัย หรือพื้นที่เสี่ยงกักตัวผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส ควรหลีกเหลี่ยงการเข้าพื้นที่จำพวกนี้หากไม่จำเป็น เพราะเราไม่รู้ได้ว่า จะได้สัมผัสกับเชื้อจากส่วนไหน หรือช่องทางไหน อาจมีการเผลอสัมผัสสิ่งของ หรือสูดดมอากาศที่ติดเชื้อเข้าไป ใช้นิ้วมือขยี้ตา หรือแคะจมูก ก็จะทำให้ติดเชื้อไวรัสได้

แต่การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ใหญ่นี้ เมื่อช่วงเวลาและวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปก็สามารถที่จะชะลอและทำลายเชื้อไวรัสลงได้ ด้วยการป้องกันและดูแลตัวเองอยู่เสมอ จะมีการคิดค้นยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยต้านทานอาการและสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย การใช้ยาเสริมจำนวนยาฉีดพ่น ยาฆ่าเชื้อต่างๆ ป้องกันเชื้อไวรัสจากภายในร่างกาย และการป้องกันเชื้อไวรัส“ไข้หวัด” ใหญ่จากปัจจัยภายนอก ด้วยหลักการง่ายๆ เหล่านี้ก็สามารถที่จะป้องกันเชื้อไวรัส “ไข้หวัด” ได้แล้ว