Uncategorized

โรคภูมิแพ้มีผลถึงชีวิตหรือไม่

โรคภูมิแพ้มีผลถึงชีวิตหรือไม่

หากพูดถึงโรคที่คนส่วนใหญ่เป็นมากที่สุดในอันดับต้นๆ ของประชากรทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ ก็คงจะนึกถึงโรค ไข้หวัด เป็นอันดับแรก แต่ก็จะมีอีกโรคที่มีผู้คนป่วยเป็นจำนวนมากเช่นกัน นั่นก็คือ โรคภูมิแพ้ นั่นเอง ซึ่งโรคนี้สามารถที่จะเกิดได้ทุกช่วงวัยตั้งแต่ทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงอายุ สามารถเป็นได้ในทุกเพศทุกวัย

                การป่วยเป็นภูมิแพ้นั้นก็คือ การที่ร่างกายสร้างสารบางอย่างออกมาเพื่อต่อต้าน สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกาย ผ่านการรับประทาน สัมผัสหรือสูดดม เมื่อร่างกายได้รับสารกระตุ้นภูมิแพ้เข้าไปนั้น ร่างกายก็จะแสดงอาการแพ้ออกมาให้เห็นทันที ในบางรายจะมีอาการรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการรับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปมากน้อยเพียงใด ก็จะแสดงอาการที่แตกต่างกัน

ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการของภูมิแพ้ได้มากกว่า 1 ชนิด เนื่องจากสาเหตุปัจจัยที่หลากหลาย เช่น ระบบพันธุกรรม หรือสภาพแวดล้อมที่ส่งผลให้ป่วยได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ในแต่ละสภาพแวดล้อมนั้นย่อมมีผลทำให้อาการกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างพวกฝุ่นละออง ควันรถยนต์ สารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ เป็นตัวกระตุ้นอาการแพ้ให้ออกมาแบบเฉียบพลัน เห็นผลได้ทันที และสานกระตุ้นที่พบบ่อยมากที่สุดก็จะเป็น จำพวกขนสัตว์ ขนแมว ขนสุนัข จะเป็นโมเลกุลขนาดเล็กและใหญ่ ผสมกัน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและลอยในอากาศ สามารถเข้าสู่ร่างกายด้วยการสูดดม หรือเข้าทางปาก ทำให้ร่างกายผู้ที่ป่วยจะมีปฏิกิริยา ไอจาม มีน้ำมูกให้เห็นทันทีอย่างรวดเร็ว

                โดยปกติแล้วโรคภูมิแพ้นั้นจะมีผลตั้งแต่อันตรายน้อยไปจนถึงขั้นอันตรายมากถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า สารกระตุ้นที่เข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยนั้น มีผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด ในผู้ป่วยบางรายได้รับสารกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้อาการที่แสดงออกมารุนแรงมากจนถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาลทันทีเลยก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะมีอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก สามารถหายได้เอง แต่จะมีภูมิแพ้บางชนิดที่อาจจะมีผลอันตรายมากๆ จึงได้ยกตัวอย่างชนิดของภูมิแพ้ที่อันตรายมากและควรต้องระวังมาฝากกัน

ภูมิแพ้ระบบหายใจ

หากเป็นการแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ เป็นกระบวนการของโครงสร้างจมูก ที่หายใจเอาอากาศและสิ่งแปลกปลอมเข้าไปยังระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจโรคชนิดนี้ว่า “ภูมิแพ้อากาศ” เมื่อสูดดมสารกระตุ้นบางอย่างเข้าไปก็จะ มีอาการ เริ่มที่น้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ไอ แน่นหน้าอก มีอาการหอบ จะเป็นการเกี่ยวเนื่องกับอาการของโรคหืด สาเหตุของโรคภูมิแพ้ของระบบทางเดินหายใจนั้นเอง

โดยส่วนมากจะเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้ไรฝุ่น ละอองฝุ่น และสารกระตุ้นที่พบบ่อยรองลงมาก็จะเป็นพวก แมลงสาบ  ขนและรังแคสัตว์เลี้ยง เช่น  แมว สุนัข เกสรพืช หรือเชื้อราในอากาศแต่ในกลุ่มเด็กก็จะมีอาการรุนแรงกว่า หากป่วยเป็นภูมิแพ้อาหารเช่น นมวัว ไข่ เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย อาการที่แสดงออกก็จะ หายใจครืดคราด หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ซึ่งอันตรายมากถึงขั้นเสียชีวิตได้

ภูมิแพ้ผิวหนัง

              กลุ่มคนที่ป่วยชนิดนี้ก็จะมีอาการอื่นพ่วงด้วยเช่น ผื่นลมพิษ ผื่นผิวหนัง การที่อาการแสดงออกมาทางผิวหนัง มีผลมาจากสาเหตุหลักเลยคือ การสัมผัสกับสารกระตุ้นนั้นๆ โดยตรง จนเกิดเป็นผื่นชนิดต่างๆ โดยส่วนใหญ่ลมพิษมักจะเกิดขึ้นในเด็กที่มีพันธุกรรมของโรคภูมิแพ้ในครอบครัว อาจเกิดจากการแพ้อาหาร เช่น นมวัว ไข่ ซึ่งทำให้เกิดผื่น โดยมักเกิดบริเวณแก้มในเด็กเล็กหรือข้อพับในเด็กโต และในวัยผู้ใหญ่ก็จะมีสารกระตุ้นจำพวกไรฝุ่น ฝุ่นละออง สารเคมี พวกนี้ก็จะทำให้เกิดอาการของผื่นคัน ผื่นผิวหนังได้เช่นกัน

ภูมิแพ้ระบบทางเดินอาหาร

ในส่วนของระบบทางเดินอาหาร กลุ่มคนที่แพ้ส่วนใหญ่จะเป็นช่วยวัยเด็ก ที่รับประทานอาหารเข้าไปแล้วเกิดอาการแพ้เช่น นมวัว ไข่ ถั่วลิวสง กุ้ง อาหารทะเลต่างๆ โดยมีอาการที่แสดงออกมาให้เห็นแบบเฉียบพลัน ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้ร่วมด้วยในผู้ป่วยบางราย ซึ่งสาเหตุของอาการส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้อาหารโดยตรง                     

แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการแพ้ระบบทางเดินอาหารแล้วก็จะมีแพ้ชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย โดยอาการก็จะรุนแรงขึ้นตามลำดับ ผู้ป่วยบางรายมีอาการแพ้มาก อาจมีอาการเกิดขึ้นในทุกระบบ เช่น หอบ ลมพิษ ช็อค หรืออาจรุนแรงจนเสียชีวิตภายหลังจากการกินอาหารบางชนิด เช่น กุ้ง ถั่วลิสง  ฯลฯ หรือภายหลังได้รับยาชนิดที่แพ้ เช่น เพนิซิลลิน ซึ่งยาบางชนิดก็มีผลกระตุ้นสารก่อภูมิแพ้ทันทีเฉียบพลันและแสดงอาการรุนแรงมากจนต้องรีบส่งโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้

จากข้อมูลโรคภูมิแพ้ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นเพียงอาการที่แสดงเฉพาะผู้ป่วยบางรายเท่านั้น ไม่ใช่ว่าภูมิแพ้ประเภทอื่นจะไม่รุนแรงแต่จะขึ้นอยู่กับ ภูมิคุ้มกันและสภาพร่างกายของผู้ป่วยร่วมด้วย เพราะฉะนั้นในผู้ป่วยที่รู้ว่าตนเองเสี่ยงต่อการแพ้ชนิดไหน ก็ควรจะหลีกเหลี่ยงและดูแลสุขภาพของตัวเองให้ สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ให้ร่างกายแอนตี้ต่อสารประเภทอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีก จะทำให้สามารถใช้ชีวิตได้สะดวกและง่ายขึ้นในทุกๆ วัน